NATUR ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์มาเช็กอาการสำคัญและการเปลี่ยนแปลงในช่วง 7-14 สัปดาห์แรกนั้น รวมถึงพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ช่วง 2-3 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง พร้อมเช็กสุขภาพและอาการของคุณแม่ให้พร้อมรับเบบี๋ตัวน้อยกัน!
- แพ้ท้องชัดเจน
อาการแพ้ท้องอาจยังมีอยู่ต่อเนื่อง ได้แก่ อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เหม็นกลิ่นอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเช้า (Morning Sickness) มากขึ้น วิธีดูแลตัวเองคือกินยาลดอาเจียนและวิงเวียน จิบน้ำขิงหรือน้ำหวานอุ่น ๆ ในตอนเช้า กินขนมปังกรอบแก้คลื่นไส้ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น อาหารกลิ่นแรง อาหารมัน หรือกลิ่นน้ำหอมบางชนิด เป็นต้น อาจกินอาหารน้อย ๆ แต่บ่อยมื้อ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่เครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายคุณแม่จะได้สดชื่นขึ้น
- ตกขาว
เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงทำให้คุณแม่ตกขาวมาก จึงควรสังเกตว่าตกขาวปกติหรือไม่ นั่นคือเป็นสีขาวขุ่นหรือครีม ไม่มีกลิ่น ไม่คัน แต่หากตกขาวมีสีเขียว เหลือง มีมากผิดปกติมีกลิ่น และคันควรไปปรึกษาแพทย์ การดูแลเมื่อมีอาการตกขาวคือทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาดปกติ ไม่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ หรือการสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดเพราะอาจทำให้ติดเชื้อไปถึงลูกน้อยในครรภ์ได้
- ปัสสาวะบ่อย
คุณแม่จะปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่อาจต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง เพราะฮอร์โมน hCG และโพร-เจสเทอโรนทำให้มีการสะสมของของเหลวมากขึ้นทั่วร่างกาย เพื่อเพิ่มปริมาตรเลือดที่หมุนเวียนไปยังอุ้งเชิงกราน (มดลูก) ทำให้ไตต้องทำงานในการขับของเหลวส่วนเกินออกมาจากร่างกายทางปัสสาวะมากขึ้น ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยนั่นเอง
- หน้าอกเริ่มขยาย
นอกจากคุณแม่จะมีอาการเจ็บคัดเต้านม ลานนมมีสีคล้ำขึ้นแล้ว ช่วงนี้เต้านมและหน้าอกของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้นชัดเจน เพื่อเตรียมที่จะเริ่มสร้างท่อน้ำนมสำหรับใช้ในการให้นมลูกต่อไป ในกรณีที่หัวนมบอด สั้น หรือลานนมแข็ง ควรแจ้งสูติแพทย์แต่เนิ่น ๆ เพื่อดูแลแก้ไขไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หลังคลอด
- ท้องอืด มีแก๊ส
เนื่องจากฮอร์โมนทำให้ระบบย่อยของคุณแม่ทำงานช้าลง คุณแม่จึงมีแก๊สในท้องเพิ่มขึ้น จนอาจผายลมและเรอบ่อยขึ้น รวมถึงมดลูกที่ขยายไปเบียดอวัยวะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ช้าจนมีอาการท้องอืด แน่นท้องง่าย
- วิธีแก้ไขคือ
เลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย มีใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแก๊ส เช่น ถั่ว ของทอด หอมหัวใหญ่ ดอกกะหล่ำ น้ำโซดา กินอาหารทีละน้อย แยกเป็นมื้อย่อย ๆ และค่อย ๆ กินเคี้ยวให้ละเอียด ตลอดจนหมั่นขยับร่างกาย ออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
“หากอาเจียนมากจนคุณแม่ดื่มน้ำหรือกินอาหารไม่ได้เลย ปัสสาวะเริ่มน้อยหัวใจเต้นเร็ว ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อแก้ไขทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติกับร่างกายและเสี่ยงต่อการแท้งหรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เป็นอันตราย”
- พัฒนาการลูกในครรภ์อายุ 2-3 เดือน
จากเคยเป็นตัวอ่อน ตอนนี้ลูกเริ่มโตเป็นทารกแล้ว เพราะอวัยวะต่าง ๆ พัฒนารวดเร็ว มีรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนขึ้น มีมือและขาขนาดจิ๋ว เริ่มเหยียดตัว งอหลัง ยืดแขนขาได้ลูกในครรภ์จะมีขนาด 7-9 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 25-40 กรัม
- เทคนิคเสริมสร้างพัฒนาการลูกรัก
คุณแม่ควรเริ่มลูบท้องพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างความคุ้นเคย กินอาหารที่มีคุณค่า เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นทั้งต่อสมองและร่างกายส่งผ่านไปให้ลูกน้อย ทั้งกรดโฟลิก วิตามินดี และกรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า ดีเอชเอ และวิตามินต่าง ๆ
แม่ท้องสุขภาพดี น้ำหนักต้องดีด้วย!
อยากรู้ไหม คุณแม่ควรน้ำหนักขึ้นเท่าไรดี ไปดูกันเลย
- คุณแม่ที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์ = 10-14 กิโลกรัม
- คุณแม่ที่น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์ = ไม่เกิน 10 กิโลกรัม
- คุณแม่ที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ผอม ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์ = 12-18 กิโลกรัม
น้ำหนักคุณแม่ที่ควรเพิ่มในแต่ละเดือน
- เดือนที่ 1-3 = ไม่เกิน 2 กิโลกรัม
- เดือนที่ 4-8 = 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
- เดือนที่ 9 ไม่ควรเพิ่มน้ำหนัก
“ทั้งนี้หากขณะตั้งครรภ์ น้ำหนักคุณแม่เพิ่มมากเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทั้งเบาหวาน ความดัน โลหิตสูงจนถึงครรภ์เป็นพิษได้อีกด้วย”